วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วัดหัวข่วงสิงห์ชัย




 “วัดหัวข่วงมีเจดีย์ยืนตั้งมั่นอันสง่างามสูงตระหง่าน๒๕.๖๐เมตรเป็นหลักฐานและสัญลักษณ์อันเก่าแก่ของการแรกเริ่มการก่อสร้างพร้อมกับการสร้างเมืองแพร่มีอายุร่วม 1212 ปีซึ่งมีอายุยืนยิ่งกว่าโบราณสถานของกรุงศรีอยุธยาที่มีอายุเพียง 662 ปีแม้แต่กรุงสุโขทัยซึ่งตั้งราชธานีเมื่อปีพ.. 1800 ก็ภายหลังวัดหัวข่วงถึง 454 ปี

  พุทธศักราช 1387 ขุนหลวงพล เจ้าหลวงเมืองแพร่ ที่ชราภาพมากแล้ว ได้มอบให้  ท้าวพหุสิงห์ ครองเมืองพลแทน ท้าวพหุสิงห์เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก หลังจากครองเมืองพลได้ 1ปี จึงให้ขุนพระพิษณุวังไชย ไปว่าจ้างช่างจากเวียงพางคำ เชียงแสน มาบูรณะซ่อมแซมวัดหลวง  แม่เฒ่าจันคำวงศ์  แม่ของขุนหลวงพล  เห็นฝีมือของช่างจากเวียงพางคำ  เชียงแสน มีฝีมือวิจิตร  จึงว่าจ้างให้ช่างดังกล่าวสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่ง โดยเลือกเอาที่ดินซึ่งเป็นลานกว้างขวาง แต่เดิมใช้เป็นสนามกีฬาประจำเมือง (ข่วงเล่นกีฬาประจำเมือง )                ขุนพระพิษณุวังไชย จึงให้ช่างทำพิธีสู่ขวัญเสาแก้วของวัด ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ปีเล้า และตั้งชื่อว่าวัดหัวข่วงสิงห์ชัยท้าวพหุสิงห์ โปรดให้จัดงานเฉลิมฉลองพร้อมกับวัดหลวงเป็นเวลา 5 วัน 5 คืน  มีการละเล่น จ๊อย ซอ เล่าค่าว ให้ขุนแขกลือราช สร้างโรงทานไว้ 4 มุมวัด และนิมนต์พระจากหลวงพระบางมาจำพรรษาสั่งสอนอบรมชาวเมืองพล                พุทธศักราช 1435 ขุนพนมสิงห์ ขึ้นครองเมืองพล บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ ชาวเมืองต่างทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ขุนพนมสิงห์จึงให้บูรณะซ่อมแซมวัดหัวข่วงสิงห์ชัย โดยให้ชาวเมืองช่วยกันปั้นอิฐ (ดินกี่) ก่อสร้างกำแพงวัดขึ้นใหม่ เพราะกำแพงเดิมถูกน้ำยมเซาะจนพังทลายไป เมื่อสร้างเสร็จโปรดให้จัดงานฉลอง 3 วัน 3 คืน                ต่อมาใน พุทธศักราช 1443 ขุนพนมสิงห์ สถาปนาเมืองพลเป็น “ พลรัฐนคร และเลื่อนตัวเองเป็น พญาพนมสิงห์ โปรดให้ขุนอภัยเดินทางไปเมืองลัมปะนคร (ลำปาง) อาราธนาครูบาศรีใจ มาเป็นประธานก่อสร้างเจดีย์ขึ้นองค์หนึ่งทางด้านตะวันตกของวิหาร ฐานเจดีย์กว้าง 12 ศอก 9 นิ้ว องค์เจดีย์ตอนบนห่อหุ้มด้วยทองคำเหลืองอร่ามตา   กล่าวกันว่าในเดือนแรมราว 14-15 ค่ำ  จะปรากฏดวงแก้วสุกใส  ลอยจากยอดเจดีย์  พุ่งวาบ ๆ ไปทางทิศตะวันออกของเมืองพลรัฐนครเสมอ                เมื่อพุทธศักราช 1524 ขอมส่งกองทัพจำนวนหลายหมื่นคน เข้ารุกรานอาณาจักรโยนกเชียงแสน พลรัฐนครถูกกองทหารขอมโจมตี เผาวัดวาอาราม ลอกเอาทองคำหุ้มพระและเจดีย์ไปเป็นจำนวนมาก วัดหัวข่วงสิงห์ชัยถูกทำลายเสียหายย่อยยับ จนกลายเป็นวัดร้างไประยะหนึ่ง ภายหลังชาวเมืองพลรวบรวบกำลังพลขับไล่ขอม จึงมีการบูรฅณะวัดขึ้นอีกครั้ง          ปัจจุบัน วัดหัวข่วง ตั้งอยู่เลขที่ 21 ถนนคำแสน ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่  มีเนื้อที่ 3 ไร่2 งาน 1 ตารางวา  ตำนานวัดหัวข่วง ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนได้เล่าสืบต่อๆกันมาว่า ภายในองค์พระธาตุเจดีย์วัดหัวข่วงนั้นมี สำเภาเงินสำเภาทอง ลักษณะคล้ายเรือสุพรรณหงส์ เป็นยานพาหนะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับบรรจุแก้วแหวนเงินทองที่ไม่อาจประมาณมูลค่าได้และยังมีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า พระขึดหรือพระมืด มีลักษณะสีดำเป็นทองสัมฤทธ์ มีความมหัศจรรย์คือ เมื่อนำเอาพระพุทธรูปองค์นี้จุ่มลงในบ่อน้ำ ก็จะปราฎมีทั้งลมและฝนตกอย่างหนักสร้างความเดือดร้อนกับผู้จัดงานเทศกาล อตีดเจ้าอาวาสจึงได้นำไปฝังซ่อนไว้และทำพิธีสาบแช่งไม่ให้ใครนำออกมาสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอีกต่อไปเพราะฉนั้นพระเจดีย์วัดหัวข่วง จึงมีดวงแก้วแสดงปาฎิหารย์มาปรากฎให้เห็นที่พ้นวิสัยที่สามัญชนจะทำได้ คือ ดวงแก้วจะปราฎในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและดวงแก้วจะท่องเที่ยวไปตามพระเจดีย์ต่างๆ โดยลอยจากเจดีย์วัดหัวข่วงไปพระธาตุช่อแฮและพระธาตุหลวงธาตุเนิ้ง ซึ่งแต่ละแห่งอยู่ห่างกัน 9 กิโลเมตร

โดยนายคมสัน  หน่อคำ 083-7373307


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น