“วัดหัวข่วงมีเจดีย์ยืนตั้งมั่นอันสง่างามสูงตระหง่าน๒๕.๖๐เมตรเป็นหลักฐานและสัญลักษณ์อันเก่าแก่ของการแรกเริ่มการก่อสร้างพร้อมกับการสร้างเมืองแพร่มีอายุร่วม 1212 ปีซึ่งมีอายุยืนยิ่งกว่าโบราณสถานของกรุงศรีอยุธยาที่มีอายุเพียง 662 ปีแม้แต่กรุงสุโขทัยซึ่งตั้งราชธานีเมื่อปีพ.ศ. 1800 ก็ภายหลังวัดหัวข่วงถึง 454 ปี”
พุทธศักราช 1387 ขุนหลวงพล เจ้าหลวงเมืองแพร่ ที่ชราภาพมากแล้ว ได้มอบให้ ท้าวพหุสิงห์ ครองเมืองพลแทน ท้าวพหุสิงห์เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก หลังจากครองเมืองพลได้ 1ปี จึงให้ขุนพระพิษณุวังไชย ไปว่าจ้างช่างจากเวียงพางคำ เชียงแสน มาบูรณะซ่อมแซมวัดหลวง แม่เฒ่าจันคำวงศ์ แม่ของขุนหลวงพล เห็นฝีมือของช่างจากเวียงพางคำ เชียงแสน มีฝีมือวิจิตร จึงว่าจ้างให้ช่างดังกล่าวสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่ง โดยเลือกเอาที่ดินซึ่งเป็นลานกว้างขวาง แต่เดิมใช้เป็นสนามกีฬาประจำเมือง (ข่วงเล่นกีฬาประจำเมือง ) ขุนพระพิษณุวังไชย จึงให้ช่างทำพิธีสู่ขวัญเสาแก้วของวัด ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ปีเล้า และตั้งชื่อว่า“วัดหัวข่วงสิงห์ชัย”ท้าวพหุสิงห์ โปรดให้จัดงานเฉลิมฉลองพร้อมกับวัดหลวงเป็นเวลา 5 วัน 5 คืน มีการละเล่น จ๊อย ซอ เล่าค่าว ให้ขุนแขกลือราช สร้างโรงทานไว้ 4 มุมวัด และนิมนต์พระจากหลวงพระบางมาจำพรรษาสั่งสอนอบรมชาวเมืองพล พุทธศักราช 1435 ขุนพนมสิงห์ ขึ้นครองเมืองพล บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ ชาวเมืองต่างทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ขุนพนมสิงห์จึงให้บูรณะซ่อมแซมวัดหัวข่วงสิงห์ชัย โดยให้ชาวเมืองช่วยกันปั้นอิฐ (ดินกี่) ก่อสร้างกำแพงวัดขึ้นใหม่ เพราะกำแพงเดิมถูกน้ำยมเซาะจนพังทลายไป เมื่อสร้างเสร็จโปรดให้จัดงานฉลอง 3 วัน 3 คืน ต่อมาใน พุทธศักราช 1443 ขุนพนมสิงห์ สถาปนาเมืองพลเป็น “ พลรัฐนคร ” และเลื่อนตัวเองเป็น “ พญาพนมสิงห์ ” โปรดให้ขุนอภัยเดินทางไปเมืองลัมปะนคร (ลำปาง) อาราธนาครูบาศรีใจ มาเป็นประธานก่อสร้างเจดีย์ขึ้นองค์หนึ่งทางด้านตะวันตกของวิหาร ฐานเจดีย์กว้าง 12 ศอก 9 นิ้ว องค์เจดีย์ตอนบนห่อหุ้มด้วยทองคำเหลืองอร่ามตา กล่าวกันว่าในเดือนแรมราว 14-15 ค่ำ จะปรากฏดวงแก้วสุกใส ลอยจากยอดเจดีย์ พุ่งวาบ ๆ ไปทางทิศตะวันออกของเมืองพลรัฐนครเสมอ เมื่อพุทธศักราช 1524 ขอมส่งกองทัพจำนวนหลายหมื่นคน เข้ารุกรานอาณาจักรโยนกเชียงแสน พลรัฐนครถูกกองทหารขอมโจมตี เผาวัดวาอาราม ลอกเอาทองคำหุ้มพระและเจดีย์ไปเป็นจำนวนมาก วัดหัวข่วงสิงห์ชัยถูกทำลายเสียหายย่อยยับ จนกลายเป็นวัดร้างไประยะหนึ่ง ภายหลังชาวเมืองพลรวบรวบกำลังพลขับไล่ขอม จึงมีการบูรฅณะวัดขึ้นอีกครั้ง ปัจจุบัน วัดหัวข่วง ตั้งอยู่เลขที่ 21 ถนนคำแสน ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ มีเนื้อที่ 3 ไร่2 งาน 1 ตารางวา ตำนานวัดหัวข่วง ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนได้เล่าสืบต่อๆกันมาว่า “ภายในองค์พระธาตุเจดีย์วัดหัวข่วงนั้นมี สำเภาเงินสำเภาทอง ลักษณะคล้ายเรือสุพรรณหงส์ เป็นยานพาหนะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับบรรจุแก้วแหวนเงินทองที่ไม่อาจประมาณมูลค่าได้และยังมีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “พระขึด”หรือพระมืด มีลักษณะสีดำเป็นทองสัมฤทธ์ มีความมหัศจรรย์คือ เมื่อนำเอาพระพุทธรูปองค์นี้จุ่มลงในบ่อน้ำ ก็จะปราฎมีทั้งลมและฝนตกอย่างหนักสร้างความเดือดร้อนกับผู้จัดงานเทศกาล อตีดเจ้าอาวาสจึงได้นำไปฝังซ่อนไว้และทำพิธีสาบแช่งไม่ให้ใครนำออกมาสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอีกต่อไป” เพราะฉนั้นพระเจดีย์วัดหัวข่วง จึงมีดวงแก้วแสดงปาฎิหารย์มาปรากฎให้เห็นที่พ้นวิสัยที่สามัญชนจะทำได้ คือ ดวงแก้วจะปราฎในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและดวงแก้วจะท่องเที่ยวไปตามพระเจดีย์ต่างๆ โดยลอยจากเจดีย์วัดหัวข่วงไปพระธาตุช่อแฮและพระธาตุหลวงธาตุเนิ้ง ซึ่งแต่ละแห่งอยู่ห่างกัน 9 กิโลเมตร
โดยนายคมสัน หน่อคำ 083-7373307 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น