วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่ สัมมนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์เลือกตั้ง ส.ส. 2562
นางรติพร บุญคง ประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่ เปิดเผยว่า เหลืออีกไม่ถึง 1 เดือน ก็จะมีถึงวันที่ทุกคนรอคอย ในการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 นี้ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวดัแพร่ จึงได้สัมมนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจให้กับนักข่าว สื่อมวลชน ผู้บริหารสถานีวิทยุ ผู้ดำเนินรายการสถานีวิทยุ Admin ผู้ดูแลสื่อ online และอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ในพื้นที่จังหวัดแพร่ เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีส่วนร่วมในกระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างถูกต้อง ถูกวิธี ทำให้ “การเลือกตั้งมีคุณภาพ ได้คนเก่ง คนดี มาพัฒนาประเทศ” และประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ มีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล โดยมีนางชรินทร์ทิพย์ ไชยโย ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดแพร่ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ ในกับสื่อมวลชน ในประเด็น “สื่อ อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง” ซึ่งการนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลางอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งได้
ทต.แม่คำมี เมืองแพร่ เตรียมความพร้อมแผนชุมชนดึงผู้นำชุมชนเป็นแนวร่วมพัฒนาตำบล
ทต.แม่คำมี เมืองแพร่
เตรียมความพร้อมแผนชุมชนดึงผู้นำชุมชนเป็นแนวร่วมพัฒนาตำบล เมื่อวันที่26กุมภาพันธ์2562 ทต.แม่คำมี
อำเภอเมืองแพร่ได้จัดการอบรมโครงการบูรณาการจัดทำแผนชุมชน/หมู่บ้าน ประจำปี2562
“อบรมส่งเสริมศักยภาพผู้นำชุมชน/หมู่บ้านในการจัดทำแผนชุมชน”
ณ ศูนย์พัฒนาบุคลากรเทศบาลตำบลแม่คำมี อำเภอเมืองแพร่
โดยกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยสมาชิกสภาเทศบาลและกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้าร่วมการอบรมจำนวน40คนโดยได้รับการสนับสนุนวิทยากรจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่
ส.ต.ท.ทวีสิทธิ์ พัฒนชัยวัฒน์ ปลัด ทต.แม่คำมี ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศบาลตำบลแม่คำมีกล่าวว่าปัจจุบันบริบทชุมชนเปลี่ยนไปอย่างมาก และกฎระเบียบรวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติราชการได้เปลี่ยนแปลงไปในหลายเรื่อง และในอนาคตรูปแบบการจัดทำแผนชุมชนจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการพัฒนาภาพรวม ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของผู้นำชุมชนในการปรับตัวให้เท่าทันสถานการณ์และถูกต้องตามระเบียบมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้ดึงปัญหาของแต่ละชุมชนมาแก้ไขและพัฒนาชุมช
แอ่วกาดกองเก่า
เมื่อปี2553 ที่ผ่านมาทางชุมชนพระนอนร่วมกับชาวบ้านใกล้เคียงได้รับการสนับสนุนจากโครงการ “แพร่ เมืองแห่งความสุข” ได้ร่วมกันคิดและสร้างกิจกรรม “แอ่วกาดกองเก่า” มีเครือข่ายต่างๆ เช่น สถาบันปุ๋มผญ๋า พิพิธภัณฑ์เสรีไทยแพร่ กลุ่มเกษตรยั่งยืน ชมรมอนุรักษ์สถาปัตยกรรมท้องถิ่นเมืองแพร่ และข่ายลูกหลานเมืองแพร่ เข้าร่วมกิจกรรม ภายในงาน มีการนำนิทรรศการภาพเก่าเมืองแพร่ นิทรรศการการอนุรักษ์เฮือนเก่ามาจัดแสดง นอกจากนี้ยังมาการนำหนังเก่าๆที่หาดูได้ยากมาฉาย โดยหวังให้เป็นพื้นที่ พักผ่อน พบปะพูดคุย โดยอิงจากวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เมื่อถึง หน้าทำบุญชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงจะหยุดงานมาร่วมทำบุญ ซึ่งเป็นรากฐานให้คนในชุมชนได้แลกเปลี่ยน ลูกหลานได้พบปะผู้หลัก ผู้ใหญ่ในชุมชน มีความกลมเกลียวสามัคคีกัน เนื่องจากอาชีพที่ทำส่วนมากจะเป็นอาชีพที่ทำในบ้าน เช่น ค้าขาย ทำนา ทำสวน ปลูกผัก ช่างไม้ ช่างฝีมือทำสลุง ไม่ได้เป็นลูกจ้างใคร และสังคมในยุคนั้นยังไม่ซับซ้อนมากนัก ทำให้เกิดการเรียนรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรมต่างๆผ่านการได้เห็น ลงมือทำ ทำให้สืบทอดวิถีชีวิตแบบพื้นถิ่นมาได้ จวบจนปัจจุบันที่ ผู้คนได้มีโอกาสเรียนสูงขึ้น ประกอบอาชีพหลากหลาย และเริ่มที่จะออกไปทำงานนอกบ้าน คนหนุ่มสาว ต้องไปหางานทำต่างถิ่น กลับบ้านมาก็แค่ช่วงเทศกาลปีละไม่กี่วัน เมื่อแต่งงานก็จะพาครอบครัวออกจากถิ่นที่อยู่เดิม นานวันเข้าก็จะชักชวนพ่อแม่ไปอยู่ด้วยกันในเมืองใหญ่หรือแหล่งงาน
จากการที่ข่ายลูกหลานเมืองแพร่ และชมรมอนุรักษ์สถาปัตยกรรมท้องถิ่นเมืองแพร่ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น เทศบาลเมืองแพร่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ และองค์กรภายนอกจังหวัดแพร่ ได้แก่ ศูนย์ภูมิภาคโบราณคดีและวิจิตรศิลป์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(spafa), มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา,บางกอกฟอรั่ม,มูลนิธิญี่ปุ่น(japan foundation) กระตุ้นให้ชุมชนในตัวเมืองเก่าแพร่ เห็นคุณค่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มรดกวัฒนธรรมที่มีชีวิตรวมถึง สถาปัตยกรรมท้องถิ่นในเมืองแพร่ ทำให้มองเห็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญคือ การที่ผู้คนละทิ้งถิ่นฐาน ออกไปอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้ขาดกำลังพลเมืองหนุ่ม สาว วัยทำงานซึ่งเป็นกลุ่มที่สำคัญที่จะสืบทอดวิถีชีวิต ประเพณี อาชีพ หัตถกรรม เรื่องราวต่างๆในชุมชน ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะในแต่ละถิ่น และเมื่อไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ก็เกิดการรื้อขายเรือนไม้สัก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าที่แสดงถึงภูมิปัญญาของคนเมืองแพร่ จึงได้ชักชวนผู้คน ในละแวกตัวเมืองเก่าแพร่มาแลกเปลี่ยนความคิด ปรึกษาหารือ เพื่อเสาะหาแนวทางที่จะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ มีพื้นที่สาธารณะได้ สื่อสารความคิด เรื่องราวที่มีคุณค่าเหล่านั้น
กาดกองเก่า จึงไม่ใช่แค่ตลาดนัดที่มีแต่การขายของ ขายอาหาร แต่เป็นพื้นที่กิจกรรมที่ทุกเพศ ทุกวัย จะได้มาอยู่ร่วมกัน แม้จะเพียงช่วงเวลาเล็กน้อย ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นที่อาจจะแตกต่างจากตลาดนัดในพื้นที่อื่นๆ ในเมืองแพร่ที่มีอยู่มากมาย คณะทำงานจึงพยายามสร้างรูปแบบการจัดงานให้มีความชัดเจน เพื่อสื่อสารกับชุมชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากที่อื่นๆ โดยมีการศึกษารูปแบบ จากสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น ตลาดสามชุก กาดกองต้า แต่ก็ยังอิงกับความเป็นเมืองแพร่ แนวคิดนี้เดิมจะจัดเพียงเดือนละครั้ง เวียนไปตามชุมชนต่างๆในเขตกำแพงเมืองแพร่ที่เป็นชุมชนเก่า มีผู้สูงอายุอยู่ค่อนข้างมากเพื่อให้ท่านเหล่านั้นได้มีโอกาสมาพบเจอกันด้วย แต่เนื่องจากการจัดงานต้องใช้กำลังคน และความคุ้นเคยกันในละแวกบ้าน ท้ายที่สุดทางคณะทำงานจึงได้จัดขึ้นบริเวณ ถนนคำลือ ตั้งแต่สี่แยกพระนอนเหนือถึงสี่แยกพระนอนใต้ และในทุกวันเสาร์จากสี่แยกพระนอนใต้จนถึงประตูมานเป็นกาดพระนอน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผู้สนใจมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เพลงสร้างบรรยากาศจะเลือกเพลงเก่าๆ เพลงพื้นเมือง เพลงคำเมือง หรือเพลงที่แต่งขึ้นให้เข้ากับบรรยากาศของกิจกรรม ที่สำคัญได้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวแก่เมืองแพร่ ปัจจุบันมีวงดนตรีกาสะลองที่เป็นลูกหลานคนแพร่แต่งเพลงเล่าเรื่องเมืองแพร่มาขับกล่อมบรรเลงให้ทุกท่านได้ฟังในกาดกองเก่าทุกวันเสาร์ จึงอยากจะเชิญชวนให้พ่อ แม่ พี่น้องที่สนใจนำของมาขายแต่งกายพื้นเมือง เอาสาดมาปูนั่ง เอาแคร่มาวาง นำสินค้าพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์ต่างๆในชุมชนบ้านเฮา หรือของที่ระลึกมาขายทุกวันเสาร์ ตั้งแต่ บ่ายสามโมงถึงสองทุ่มครึ่ง ณ แอ่วกาดกองเก่า ถนนคำลือ อ.มืองแพร่........
วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
เวียงสรอง เมืองแห่งความรัก
เวียงสรองหรือเมืองสอง เป็นเวียงโบราณที่มีลักษณะเป็นเมืองเก่าคล้ายเมืองเก่าสุโขทัย คือมีกำแพงเมืองเป็นดิน ๓ ชั้นล้อมรอบ เวียงสรองตั้งอยู่ในอำเภอสอง จังหวัดแพร่ มีความเกี่ยวข้องกับวรรณคดีไทยเรื่องลิลิตพระลอ เพราะชาวบ้านท้องถิ่นเชื่อว่าเวียงสรองคือเมืองของพระเพื่อนพระแพง สองพี่น้องผู้ตกหลุมรักพระลอ ราชโอรสแห่งเมืองสรวงที่เป็นอริกัน
ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีที่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นคนแต่งและแต่งขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานได้เพียงว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยอยุธยา โดยเนื้อหาในลิลิตพระลอกล่าวถึงเมืองสองเมืองคือ เมืองสรวงและเมืองสรอง โดยเมืองสรวงมีกษัตริย์ชื่อ ท้าวแมนสรวง เป็นผู้ครองนคร มีพระชายาชื่อ พระนางบุญเหลือ มีโอรสชื่อพระลอ ส่วนเมืองสรองนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองสรวง มีเจ้า ผู้ครองเมืองชื่อ ท้าวพิมพิสาคร มีโอรสชื่อท้าวพิชัยพิษณุกร ซี่งมีธิดาสององค์คือ พระเพื่อนกับพระแพง
ท้าวแมนสรวงยกทัพไปตีเอาเมืองสรอง แต่ไม่สามารถตีเอาเมืองได้ โดยท้าวพิมพิสาครผู้ครองเมืองสรองสิ้นพระชนม์ ท้าวพิชัยพิษณุกรจึงได้ครองเมืองต่อ ฝ่ายท้าวแมนสรวงได้สู่ขอนางลักษณวดีให้แก่พระลอ เมื่อท้าวแมนสรวงสิ้นพระชนม์ พระลอจึงได้ครองเมืองสรวงสืบต่อมา ทั้งสองเมืองเป็นอริกันนับตั้งแต่การทำศึกครั้งนั้น
ความงามของพระลอนั้นเป็นที่เลื่องลือมาก จนช่างซอนำความงามของพระลอไปขับซอยอโฉมตามเมืองต่าง ๆ เมื่อพระเพื่อนพระแพงได้ฟังซอก็เกิดหลงรักพระลอ จนเป็นไข้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอหน้า นางรื่นนางโรย พี่เลี้ยงของพระเพื่อนพระแพง จึงอาสาหาวิธีให้พระธิดาทั้งสองได้ใกล้ชิดพระลอให้จงได้ จึงจัดหาคนสนิทไปขับซอชมโฉมของพระเพื่อนพระแพงบ้าง เมื่อพระลอได้ฟังคำซอนั้น ก็เกิดหลงรัก พระเพื่อนพระแพงเช่นกัน
เรื่องราวความหลงใหลของพระเพื่อนพระแพงที่มีต่อพระลอวุ่นวายหนักขึ้น เมื่อนางรื่นนางโรยได้ไปเสาะหาหมอทำเสน่ห์ให้พระลอหลงรัก แต่ไม่มีใครยอมทำ จนสุดท้ายได้ไปขอให้ปู่เจ้าสมิงพราย ที่อาศัยอยู่ในถ้ำลึกในป่า ช่วยทำเสน่ห์ให้ ปู่เจ้าสมิงพรายได้ทำเสน่ห์หลายครั้ง แต่พระนางบุญเหลือมารดาของพระลอก็หาหมอมาแก้ได้ทุกครั้ง จนครั้งสุดท้าย ปู่เจ้าสมิงพรายได้ทำมนต์เสน่ห์อย่างแรงที่สุด จนทำให้พระลอกระวนกระวายใจจะไปเมืองสรองให้ได้ แม้การเสี่ยงทายบอกว่าจะมีภัย ปู่เจ้าสมิงพรายได้ปล่อยไก่ฟ้าที่ทำพิธีแล้ว ให้ไปล่อพระลอหลงเข้าไปในสวนที่อยู่ใกล้กับสวนของพระเพื่อนพระแพง เมื่อได้พบเจอกันจึงหลงเสน่ห์กันและลักลอบอยู่ด้วยกันนานเกือบเดือน ความทราบถึงท้าวพิชัยพิษณุกรที่แอบมาดูเหตุการณ์ แต่เมื่อได้เห็นพระลอแล้วเกิดความเมตตาและให้อภัย แต่เจ้าย่าซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของท้าวพิชัยพิษณุกร กลับผูกใจเจ็บที่ท้าวแมนสรวงเคยยกทัพมาทำศึก จนพระยาพิมพิสาครต้องสิ้นพระชนม์ จึงสั่งให้ทหารไปล้อมจับพระลอ พระเพื่อนพระแพงและนางรื่นนางโรยได้ปลอมตัวเป็นชายออกไปต่อสู่เคียงข้างพระลอ จนกระทั่งถูกหน้าไม้อาบยาพิษยิงใส่ทั้งสามองค์ สิ้นใจทั้ง ๆ ที่ยืนพิงกัน
เรื่องราวของลิลิตพระลอ จึงถูกนำมาเชื่อมโยงกับพื้นที่ในบริเวณจังหวัดแพร่ พะเยา ลำปาง โดยเฉพาะเวียงสรองในอำเภอสอง จังหวัดแพร่ ที่น่าจะเป็นเมืองสรองของพระเพื่อนพระแพง ด้วยลักษณะภูมิประเทศและระยะทางที่ปรากฏในลิลิตพระลอนั้น มีความใกล้เคียงสอดคล้องกัน จึงน่าจะเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ล้านนาตะวันออกนี้
โรงเรียนเจริญราช โรงพยาบาลแพร่คริสเตียน
โรงเรียนเจริญราษฎร์ เป็นโรงเรียนของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ตั้งอยู่บนรากฐานแห่ง คริสตศาสนานิกายโปแตสแตนท์ ซึ่งได้ดำเนินการก่อตั้งโดยมิชชันนารีชาวอเมริกัน เมื่อ พ.ศ. 2437 โดยมีศาสนฑูต ดร. และนางวิลเลี่ยมบริกส์ เป็นมิชชั่นนารีกลุ่มแรกที่เข้ามาทำ การสอน คริสตศาสนา ได้อาศัยบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำยม (บ้านเชตวัน) นับเป็นโรงเรียนหลังแรก ต่อมาน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงได้ย้ายสถานที่ตั้งโรงเรียนมาอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ.2446 โดยมีนักเรียนชาย 44 คน นักเรียนหญิง 42 คน มีครูชาย 1 คนและ ครูหญิง 1 คน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บิดามารดา ผู้ปกครองต่างส่งบุตรหลานมาเรียนเป็นจำนวนมาก ทำให้เนื้อที่เรียนคับแคบลง จึงได้ขยายห้องเรียนตามใต้ถุนบ้าน มิชชันนารี ต่อมาคณะกรรมการบริหารสภาฯได้อนุมัติเงินจำนวน 5 แสนบาท มาก่อสร้างอาคารเรียน พร้อมส่งนายสิงห์แก้ว ดีตันนา ครูใหญ่และผู้จัดการโรงเรียนสมัยนั้น ไปศึกษาต่อที่ประเทศ ฟิลิปปินส ์ โดยตั้งนายธงชัย วุฒิการณ์ ทำหน้าที่รักษาการแทนครูใหญ่และผู้จัดการในปี พ.ศ. 2497 กระทรวงศึกษาธิการ โดยฯพณฯ เลียง ไชยลังกา ได้มอบใบสำคัญการ รับรองวิทยฐานะของโรงเรียน เมื่อ 28 มิถุนายน 2497 ปัจจุบันได้รับอนุญาตให้จัดการเรียน การสอน ตั้งแต่ชั้นปฐมวัย ถึงระดับมัธยมศึกษา
สำหรับโรงพยาบาลแพร่คริสเตียน เมื่อแรกเริ่มครอบครัวของหมอวิลเลี่ยม เอ.บริกส์ เป็นมิชชั่นนารีครอบครัวแรกที่อยู่ประจำจังหวัดแพร่ เป็นผู้จัดตั้งสถานพยาบาลขึ้น ในปี พ.ศ. 2457 ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งแรกของจังหวัดแพร่ตั้งขึ้นบนฝั่งแม่น้ำยม บ้านเชตวัน อ.เมือง จ.แพร่ ดำเนินการโดย คณะมิชชั่นนารีสัญชาติอเมริกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ในท้องถิ่นที่ความเจริญทางการแพทย์ยังเข้าไปไม่ถึง และเป็นการนำเอาศริสต์ศาสนามาเผยแพร่
คณะมิชชั่นนารีที่ดำเนินการของโรงพยาบาลประกอบด้วยหมอโทมัส ที่ชาวบ้านเรียกว่า “พ่อเลี้ยงโทมา” และผู้ดำเนินการทางศาสนาคือ พระกิลิส และพระกาสันเดอร์ นอกจากนี้ยังมีนายแพทย์ร่วมคณะซึ่งเป็นบุคคลสำคัญและมีพระคุณต่อโรงพยาบาลแพร่คริสเตียนอย่างมหาศาล คือ นาย แพทย์ อี ซี คอร์ท (พ่อเลี้ยงคอร์ท) เป็นผู้ดำเนินการฝ่ายโรงพยาบาล โดยเป็นผู้จัดหาความเจริญทั้งในด้านวิชาการ,เครื่องมือทางแพทย์ รวมถึงบุคลากรทั้งหมด และคนไทยที่ร่วมทำงานด้วยคือ คุณหมอศรีมูล พิณคำ ประจำอยู่ที่แพร่ ต่อมาพ่อเลี้ยงคอร์ทได้คัดเลือกบุตรหลานของคริสต์สมาชิกไปฝึกอบรมวิชาแพทย์แผนปัจจุบันที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ครั้นเมื่อได้ใบรับรองผู้ประกอบโรคศิลป์แผนปัจจุบันสาขาเวชกรรมก็ให้มาทำหน้าที่แพทย์ประจำโรงพยาบาล(ตอนนั้นใช้ชื่อว่าโรงพยาบาลอเมริกัน)
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นยกพลเข้าประเทศไทย รัฐบาลไทยจำเป็นต้องทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทำให้แพทย์ชาวอเมริกันต้องอพยพหนีไปสู่ประเทศพม่า โรงพยาบาลอเมริกันถูกยึดเป็นของรัฐบาล คณะแพทย์อเมริกันได้กลับมาฟื้นฟูโรงพยาบาลแพร่คริสเตียนขึ้นใหม่พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลแพร่คริสเตียนจนถึงปัจจุบัน
ที่มา http://www.crschool.ac.th,โบสถ์,คริสตจักรที่ 1 แพร่กิตติคุณ,โรงพยาบาลแพร่คริสเตียน,นิทรรศการสถาปัตย์ศิลป์ บ้านฝรั่ง 100 ปี จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-13 กพ. พ.ศ.2555
คริสตจักรที่ 1 แพร่กิตติคุณ 1894-2011 ตอนที่ 2
หลังจากก่อตั้ง คริสตจักรที่ 1 แพร่กิตติคุณ แล้วในปี ค.ศ.1894(พ.ศ.2437) ศาสนาจารย์ ดร.ฟิเอสพเปิ้ล
ได้จัดการซื้อที่ดินแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเชตะวันอันมีเนื้อที่ประมาณ 3ไร่ เศษ ที่ดินดังกล่าวนี้อยู่ใกล้ๆ ฝั่งแม่น้ำยมฟากด้านตะวันตกใกล้ๆ
บริเวณห้างบอมเบย์เบอร์ม่า บริษัทที่ได้รับสัมปทานป่าไม้เขตภาคเหนือ
เวลานั้นที่ดินอาณาเขตที่มิชชั่นซื้อครั้งนั้นติดอยู่ให้บริษัทำการป่าไม้บอมเบย์เบอร์ม่ามิชชั่นใช้เป็นที่ตั้งโรงพยาบาลขนาดเล็ก(คลินิก)และสร้างอาคารเรียนตั้งเป็นสถานที่สอนหนังสือ
สร้างบ้านพักมิชชั่นนารี บ้านพักคนงาน เรือนพักคนงาน
และโรงสวดเป็นสถานที่สวดนมัสการพระเจ้า ในปี ค.ศ.1894 ดร.วิลเลียมบริ๊กส์เอ็มดี
(Dr.Rilliam Briggs M.D.) ได้ย้ายมาเป็นมิชชั่นนารีประจำเมืองแพร่เป็นครอบครัวแรก
ผู้ปกครอง2คนแรก
ในคริสตจักรเมืองแพร่ คือ นายมา ชาติเงี้ยว กับ นายน้อยปัญญา มณีวงศ์
และยังอีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของในการเผยแพร่ศาสนาคริสต คือนายหนานชัย นุภาพ ที่ย้ายมาจากเชียงใหม่ เพื่อมาทำงานกับบริษัท
ป่าไม้บอมเบย์เบอร์ม่าก่อนที่คณะมิชชั่นนารีจะเปิดสำนักงานมิชชั่นนารี
ในปี ค.ศ.1913(พ.ศ.2456)
สมัยที่ท่านอาจารย์ ซี อาร์
คารเลนเดอร์พร้อมทั้งครอบครัวไปอยู่ประจำที่เมืองแพร่ในปีนี้เองคณะมิชชั่นนารีได้มีมติให้ย้ายสำนักงานมิชชั่นนารีจากบ้านเชตะวันไปอยู่ที่ดินแปลงใหม่คือ
บ้านทุ่ง ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
อันเป็นที่ดินที่โรงเรียนและโรงพยาบาลตั้งอยู่ในปัจจุบัน
เหตุที่มิชชั่นนารีต้องย้ายไปตั้งอยู่ที่ใหม่นี้เนื่องจากบริเวณเขตเก่าของมิชชั่นนารีที่บ้านเชตะวันถูกน้ำยมเซาะตลิ่งพังกินเนื้อที่ของมิชชั่นนารีไปทุกที
ในไม่ช้าก็ถูกแม่น้ำยมกลืนหมด จนปัจจุบันนี้บริเวณที่ดินดังกล่าวตกอยู่กลางแม่น้ำทีเดียว
ผืนแผ่นดินบริเวณของเขต มิชชั่นนารีที่หมู่บ้านเชตะวันไม่เหลือแม้แต่น้อย
หลังจากย้ายมาตั้งโบสถ์มาที่บ้านทุ่ง
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1929(พ.ศ.2472) ดำเนินกิจกรรมเรื่อยมาอย่างไม่มีปัญหา
ทางคริสตจักรที่ 1 ในเมืองแพร่ไม่มีชื่อเฉพาะ
จึงมาเปลี่ยนชื่อเป็น “คริสตจักรแพร่กิตติคุณ”ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองนี้เอง
ต่อมาทางคริสตจักรเห็นว่าคริสต์สมาชิกเจริญก้าวหน้ามามากแล้ว
เห็นสมควรที่จะต้องสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่ ให้เป็นตึกอาคารถาวร
ตึกคอนกรีตเสริมเหล็กให้ทันสมัย สมาชิกรวมทั้งคณะธรรมกิจจึงได้ตกลงให้สร้างขึ้นใหม่ในสถานที่ดินแห่งใหม่อันเป็นที่ดินของมิชชั่นนารีที่ซื้อไว้แต่เดิม
ในนามของบอร์ดออฟฟอเรนส์ มิชชั่นนารี
เมื่อเวลาผ่านไปทางบอร์ดได้สลายตัวและมอบให้เป็นของมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทยเป็นเจ้าของ
มีเนื้อที่ประมาณ13ไร่1งาน18ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
อันเป็นที่ตั้งโบสถ์คริสตจักรที่1แพร่กิตติคุณ ในปัจจุบัน
หลังจากคริสตจักรได้ย้ายมาสร้างที่นมัสการพระเจ้า (โบสถ์ ใหม่)
ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนเจริญราษฎร์ ทางทิศใต้ ซึ่งเป็นสถานที่ปัจจุบันนี้ ในปี
ค.ศ.1952 คริสตจักร ได้ดำเนินงานตามปกติ
โดยการดำเนินงานของคณะธรรมกิจเพราะช่วงนี้คริสตจักรยังไม่มีศิษยาภิบาล จวบจนราวปี
ค.ศ.1957 คริสตจักรจึงได้มีศิษยาภิบาลประจำการจนถึงปัจจุบัน
ที่มา http://www.crschool.ac.th,โบสถ์,คริสตจักรที่ 1 แพร่กิตติคุณ,โรงพยาบาลแพร่คริสเตียน,นิทรรศการสถาปัตย์ศิลป์
บ้านฝรั่ง 100 ปี จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-13 กพ. พ.ศ.2555
ป้ายกำกับ:
คริสจักรที่1,
บทความ,
บ้านเก่า,
โบสถ์,
ฝรั่ง,
แพร่,
ศาสนาคริสต์
คริสตจักรที่ 1 แพร่กิตติคุณ 1894-2011 ตอนที่ 1
ชื่อ คริสตจักรที่ 1 แพร่กิตติคุณ หลายที่คงเคยได้ยินได้ฟังผ่านหูมาบ้าง ขอบอกว่าในจังหวัดแพร่มีคนนับถือศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธอยู่ด้วยมากมาย ศาสนาคริสตเป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มที่มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์หนึ่งของจังหวัดแพร่มายาวนาน คริสตจักรที่ 1 เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่ศาสนาศริสตในเขตจังหวัดแพร่และอุตรดิตถ์ โดยมีมิชชั่นนารีคณะเพรสไบทีเรียนของประเทศสหรัฐอเมริกา นำโดย ดร.แมคกิลวารี ที่ถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า “พ่อครูหลวง”เป็นมิชชั่นนารีคนแรก ที่เข้ามาสำรวจและเผยแพร่ศาสนาคริสตในจังหวัดเชียงใหม่ ในรูปแบบหมอ คือ ออกเยี่ยมเยียนชาวบ้าน รักษาคนเจ็บป่วย พร้อมสอนคำสอนของพระเยซูคริสตควบคู่กับได้ใช้วิชาการแพทย์ใหม่รักษาชาวบ้าน ซึ่งได้ผลดีกว่าการรักษาแบบโบราณ ทำให้ได้รับความไว้ใจจากชาวบ้าน
หลังจากแจกข้าวสารเสร็จแล้ว คณะมิชชั่นนารีก็กลับลำปาง มีชาวบ้านจากแพร่ติดตามไปด้วยจำนวนหนึ่ง และได้พักที่ลำปาง1เดือน ระหว่างนั้นก็มีโอกาสได้ฟังคำสอนเกี่ยวกับศาสนา ได้เห็นการประพฤติปฎิบัติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเมตตาของมิชชั่นนารีจึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในคริสต์ศาสนาในที่สุดก็ตัดสินใจรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ 10 คน ครั้นคริสเตียนทั้ง10คน กลับสู่จังหวัดแพร่ จึงนำข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ไปบอกเล่าให้เพื่อนฝูงและญาติพี่น้องฟัง ทำให้อีกหลายครอบครัว ตัดสินใจเชื่อรับบัพติศามาประกาศตัวเป็นคริสเตียน จนสามารถรวมตัวกันตั้งเป็นคริสตจักร “แห่งแรก” ของจังหวัดซึ่งได้แก่คริสตจักรที่1แพร่กิตติคุณ
ที่มา http://www.crschool.ac.th,โบสถ์,คริสตจักรที่ 1 แพร่กิตติคุณ,โรงพยาบาลแพร่คริสเตียน,นิทรรศการสถาปัตย์ศิลป์ บ้านฝรั่ง 100 ปี จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-13 กพ. พ.ศ.2555
ป้ายกำกับ:
คริสจักรที่1,
บทความ,
ฝรั่ง,
แพร่,
โรงพยาบาล
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)